ถ้าคนที่เรารักไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป เราจะยังรักเขาอยู่หรือเปล่า?
คำถามนี้วนอยู่ในหัวหลายรอบหลังจากที่ดู The Danish Girl จบ ก่อนจะพบว่าเราคงไม่อาจตอบได้ในทันที เพราะเราไม่รู้ว่าอีกคนจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน ด้วยเหตุผลอะไร และเราจะเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหนเมื่อมันเกิดขึ้นจริงๆ เหมือนเรื่องราวในหนัง
The Danish Girl สร้างจากเรื่องจริงของ ไอนาร์ เวเกเนอร์ (เอ็ดดี เรดเมน) จิตรกรชื่อดังชาวเดนมาร์ก และ เกอร์ดา (อลิเซีย วิกันเดอร์) ภรรยาซึ่งเป็นจิตรกรเหมือนกัน แต่ยังหาแนวทางของตัวเองไม่เจอทำให้ผลงานไม่เป็นที่ยอมรับ ทั้งคู่ยังไม่มีลูกด้วยกัน ชีวิตครอบครัวก็ดูปกติดี แม้จะมีเรื่องที่ไม่เข้ากันอยู่บ้างตรงที่ ไอนาร์ ไม่ชอบออกงานสังคม เพราะไม่อยาก ‘สวมบทเป็นตัวเอง’ ต่อหน้าใคร
ปัญหาของเขาและเธอ เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันหนึ่ง เพื่อนของ เกอร์ดา ไม่ว่างมาเป็นแบบให้เธอวาด เธอจึงขอให้ไอนาร์แต่งหญิงเป็นแบบแทน นั่นเป็นครั้งแรกที่ไอนาร์สัมผัสได้ถึงความรู้สึกส่วนลึกที่แท้จริงของตัวเองที่กระซิบบอกอยู่ตลอดเวลาว่า เขาเกิดมาเพื่อเป็นผู้หญิง ที่ทุกคนรู้จักในชื่อ ‘ลิลี่’ ในเวลาต่อมา
จากวันนั้นไอนาร์ก็ได้สวมบทเป็นลิลี่บ่อยครั้ง ทั้งไปออกงานคู่เกอร์ดา โดยบอกทุกคนว่าเป็นญาติของไอนาร์ รวมถึงเป็นนางแบบให้เกอร์ดาวาดจนผลงานของเธอโด่งดังในที่สุด แล้วลิลี่ก็เริ่มมีตัวตนชัดเจนขึ้นจนไอนาร์ไม่สามารถกลับไปทำหน้าที่สามีได้
เรื่องราวดำเนินต่อไปผ่านการหาทางของเรื่องนี้ของตัวละคร ทำให้เราได้เห็นประเด็นใหญ่ที่หนังถ่ายทอดผ่านชีวประวัติของจิตรกรคนนี้ นั่นคือเรื่องของ ‘ความเข้าใจ’ ไม่ว่าจะเป็น เกอร์ดา ที่เป็นตัวแทนของคนใกล้ชิด คนรัก ครอบครัว ซึ่งความเข้าใจจากคนกลุ่มนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ชาว LGBTQ+ ต้องการในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ความเข้าใจจากสังคม โดยหนังได้เล่าถึงการพยายามหาทางรักษาไอนาร์ เขาต้องผ่านทั้งการฉายรังสี และถูกหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภทเพราะขาดความเข้าใจ เป็นเรื่องสะเทือนใจที่ใครหลายคนอดเสียน้ำตาให้ไม่ได้