เรื่องราวจะเล่าถึง เบธ (รับบทโดย ลิลี ซัลลิแวน – Lily Sullivan) ที่กลับมาเยี่ยมครอบครัวของพี่สาว เอลลี (รับบทโดย อลิซซา ซูเธอร์แลนด์ – Alyssa Sutherland) ด้วยเหตุผลบางอย่าง ขณะที่เอลลีผู้เป็นพี่อาศัยอยู่กับลูก ๆ ในอะพาร์ตเมนต์เก่าโทรมในเมืองลอสแอนเจลิส ในคืนนั้นเองได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวขึ้น นำพวกเขาไปสู่การค้นพบหนังสือเนโครโนมิครอน แผ่นเสียงที่บันทึกการแปลหนังสือโดยนักบวชและได้ปลุกปีศาจร้ายขึ้นโดยไม่ตั้งใจ กลายเป็นค่ำคืนอันตรายที่ภัยร้ายก็คือตัวเอลลีที่ถูกสิงโดยปีศาจร้ายนั่นเอง
ในภาคนี้โลเคชันการดำเนินเรื่องและกลุ่มตัวละครหลักนั้นเปลี่ยนไปทั้งหมด เรื่องราวไม่ได้เกิดขึ้นกลางป่า ไม่ได้เกิดขึ้นที่กระท่อมร้าง แต่ยังคงเอกลักษณ์อย่างการถ่ายทำในโลเคชันเพียงแห่งเดียว โดยเปลี่ยนมาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดในอะพาร์ตเมนต์โทรม ๆ ในเมืองลอสแอนเจลิสแทน แต่ถึงอย่างนั้นก็สามารถทำให้เรารู้สึกถึงความโดดเดี่ยว การถูกตัดขาดจากภายนอก และไร้ทางหนีได้ดี แม้จะเลือกเล่าเรื่องโดยใช้มุมมองของตัวละครกลุ่มใหม่ โลเคชันใหม่ แต่เราก็ยังรู้สึกคุ้นเคยเพราะ ‘Evil Dead Rise’ หยิบเอาวัตถุดิบในจักรวาลของตัวเองมาใช้งานได้อย่างคุ้มค่าแถมยังลงตัวเอามาก ๆ เลยด้วย ไม่ว่าจะเป็นความบังเอิญแบบตลกร้ายที่นำพาบรรดาตัวละครไปพบกับความวายป่วงชวนผวา การเอาตัวรอดจากค่ำคืนที่ยาวนาน ของเหลวสีขาวที่ผู้ถูกสิงสำรอกออกมา เอกลักษณ์ประจำตัวของ เดดไดต์ (Deadite) ที่เมื่อได้สิงคนเมื่อไหร่ มันจะมาพร้อมการปั่นประสาทจนทำให้ทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่สติหลุด
แน่นอนว่ารวมถึงไอเทมชิ้นสำคัญประจำจักรวาลอย่างเนโครโนมิครอน ที่การกลับมาในภาคนี้มีรูปลักษณ์ดูเรียบง่ายแต่ชวนขนลุกไม่ต่างจากภาคอื่น แค่ดูก็รู้ได้ว่าหนังสือเล่มนี้อันตราย แต่ก็ไม่วายมีคนอยากรู้อยากเห็นจนไปเปิดมันเข้าจนได้
นอกจากนี้หนังยังใช้มุมกล้องสไตล์ไรมีอยู่หลายครั้งเพื่อสื่อถึงการโดนไล่ล่าโดยวิญญาณร้าย ที่สำคัญฉากสุดคลาสสิกอย่างการโดนพันธนาการและถูกล่วงล้ำก็ยังมีให้เห็น แถมยังดูโหดร้าย ชวนผวา และทำให้จิตตกได้แบบเบา ๆ
เป็นการหยิบเอาวัตถุดิบที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง นำมาปรุงให้ดูแปลกใหม่ แม้ในแง่เรื่องราวและความสัมพันธ์ของตัวละครที่ถูกเล่าแบบเบาบางจะยังไม่กลมกล่อมเท่าไหร่ แต่ความบันเทิงตามแบบฉบับผีอมตะก็ยังคงอยู่เต็มเม็ดเต็มหน่วย